|
ล่องแพสุดสายน้ำแห่งแม่น้ำแม่กลอง
แม่น้ำแม่กลอง
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แม่น้ำแควใหญ่ แต่ไม่มีใครรู้จักชื่อนี้กันนัก
แม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อยไหลรวมกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง
ต้นน้ำของแม่น้ำแควใหญ่หรือแม่กลองมีต้นกำเนิดอยู่ที่เขตอำเภออุ้มผาง
จังหวัดตาก ส่วนแม่น้ำแควน้อยมีต้นกำเนิดอยู่ที่เขตอำเภอสังขละบุรี
จังหวัดกาญจนบุรี
การท่องเที่ยวป่ามีหลายอย่างตามแต่ใครจะชอบหรือถนัด เช่น
ขับรถลุยเข้าไปพักแรมในป่าบ้าง เดินท่องป่าเที่ยวน้ำตกหรือภูเขาบ้าง
ล่องเรือหรือล่องแพบ้าง
การท่องเที่ยวในรูปแบบเช่นนี้ต่างสะใจในอารมณ์ของนักท่องป่า
ในส่วนของการล่องเรือหรือล่องแพไม่ค่อยจะมีมากนัก
เพราะสภาพภูมิประเทศของเราไม่เอื้ออำนวย เช่น ล่องได้เฉพาะฤดูฝน
หรือระยะทางการล่องได้ไม่ไกล ลำห้วยต่าง ๆ
มีแต่โขดหินจนเรือหรือแพล่องผ่านไม่ได้ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
<<<<<
สายน้ำแม่กลองก่อนถึงน้ำตกทีลอเร >>>>> น้ำตกทีลอเรไหลลงแม่น้ำแม่กลองตลอดทั้งปี
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การล่องเรือยางถือว่าปลอดภัย
แต่ถ้าล่องแพไม้ไผ่ต้องใช้ความสามรถของทุกคนที่อยู่บนแพ
เรือยางที่ทนต่อการขีดข่วนราคาก็แพง ซื้อมาใช้เองคงไม่คุ้มกับความอยาก
คงต้องอาศัยกับผู้ที่ให้บริการด้านนี้ ถ้าเป็นแพไม้ไผ่ก็จะหาไม้ไผ่ได้ยาก
บางแห่งไม่มีไม้ไผ่ มิใช่ว่าจะใช้ไม้ไผ่ทุกชนิดต่อแพได้ หรือใครจะนำเรือแคนนูมาล่องแก่งดูก็น่าจะดี
สำหรับแม่น้ำแม่กลอง
ตั้งแต่ตัวอำเภออุ้มผางลงมาจะมีไม้ไผ่อยู่ตลอดริมฝั่งแม่น้ำ
อาจจะมีบางช่วงที่มีไม้ไผ่ไม่มากนัก
อาจจะเป็นไม้ไผ่ลำเล็กหรือเป็นไม้ไผ่มีหนาม หรือมีแต่ไม้ไผ่ตงป่า
สำหรับไม้ไผ่ตงป่าใช้ทำแพไม่ค่อยดีนัก
เพราะข้อไม้ไผ่ตงทุกข้อจะมีรูถึงกันตลอด
ทำให้น้ำเข้าในรูกระบอกแล้วแพจะจมน้ำ
และเสี้ยนหรือผิวของไม้ไผ่ตงป่านั้นคมมากเหมือนใบมีดโกน |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
<<<<< มุมมอง
มองลอดจากด้านในของน้ำตกออกมา >>>>> น้ำตกนิรนาม
อยู่เลยน้ำตกทีลอเรไปประมาณ100เมตร
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ในที่นี้จะพูดถึงการล่องแพด้วยไม้ไผ่ ถ้าใช้ไม้ไผ่ลำใหญ่ก็ใช้ประมาณ๗- ๘
ลำ ความยาวประมาณ ๗-๘ เมตร ถ้าต่อแพใหญ่เกินไปก็จะผ่านช่องหินลำบาก
และการบังคับแพทำได้ยากกว่าแพเล็ก ๆ แต่ก็อยู่กับการใช้บรรทุกรับน้ำหนัก
เชือกสำหรับใช้ผูกก็คงเป็นตอกไม้ไผ่ ถ้าจักตอกไม่เป็นเป็นก็ให้ใช้เชือกมลิลาเส้นเล็กขนาดดินสอ
การล่องแพเช่นนี้ต้องมีผู้ที่มีประสบการณ์
คงรู้จักการต่อแพไม้ไผ่ได้อย่างดี
สำหรับผู้ที่ต้องการล่องแพจากจุดเริ่มต้นจนถึงสุดทางของสายน้ำ
คือถึงน้ำเอ่อของเขื่อนศรีนครินทร์ เป็นระยะทางเกือบร้อยกิโลเมตร
โดยนับหนึ่งจากตัวอำเภออุ้มผางซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการล่องแพ
ซึ่งมีกิจกรรมล่องเรือยางและล่องแพไม้ไผ่อยู่เป็นประจำ
โดยล่องมาถึงช่วงทางไปชมน้ำตกทีลอซู หรือเลยไปถึงหมู่บ้านปะละทะ
จากจุดเริ่มต้นจนถึงปะละทะไม่มีปัญหาในการล่อง แต่จากบ้านปะละทะไปถึงน้ำตกทีลอเร
ต้องมีผู้ที่ชำนาญนำทางเพราะมีแก่งหินอันตรายหลายแก่ง
|
|
 |
|
<<<<< แก่งหิน ภูผา และ
น้ำตก >>>>> จุดที่แม่น้ำไหลมุดลงภูเขา
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พอถึงน้ำตกทีลอเรแล้วถือว่าเป็นจุดสุดท้ายของการล่องแพ
เพราะจากน้ำตกนี้ไปจะเป็นแก่งมีแต่โขดหินจนแพไม่สามารถผ่านไปได้
หรือผ่านไปได้แบบสภาพที่บอบช้ำเพราะครูดกับโขดหิน
ต้องรื้อแพแล้วแบกไม้ไผ่ข้ามแก่งไปต่อแพอีก
ถ้าจะตัดไม้ไผ่ใหม่ก็จะเสียเวลาเป็นวัน
และล่องไปได้ร้อยกว่าเมตรก็ต้องรื้ออีก หรือล่องไปได้ ๒-๓๐๐
เมตรก็ต้องเข็นแพหรือรื้อแพอีก
บางครั้งต้องงัดแพที่ติดขัดกับโขดหินท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยว
หรือไม่บางครั้งก็ต้องปล่อยให้แพเปล่า ๆ
ไหลไปตามน้ำแล้วคอยไปจับอยู่ข้างหน้า
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไหลลอยไปได้ทุกครั้ง
แพติดขัดกับโขดหินท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากจนแตกหัก
ต้องทิ้งแพแล้วตัดไม้ไผ่มาต่อแพอีก
ริมฝั่งแม่น้ำเป็นหน้าผาสูงชันติดน้ำเดินลำบาก
หรือเดินไม่ได้เลยต้องลอยคอไปกับน้ำ
น้ำลึกท่วมหัวจะข้ามแต่ละทีแสนจะยากนัก
|
|
 |
|
<<<<<
กระแสน้ำไหลเชี่ยวและลึก >>>>>
ภูเขาที่ขวางกันกระแสน้ำตัดขาด ไหลโผล่มาอีกด้านหนึ่ง
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เลยจากน้ำตกทีลอเรมาประมาณ ๓ ก.ม. จะถึงจุดที่แม่น้ำแม่กลองไหลมุดลอดภูเขา
ต้องรื้อแพหรือไม่ก็เข็นแพข้ามโขดหิน โดยใช้ไม้ไผ่ยาวประมาณสองเมตร จำนวน
๓ ท่อนรองรับแพไว้ จากน้ำมุดไปจะล่องแทบไม่ได้เลยจนถึงบ้านแม่จันทะ
แต่ช่วงก่อนถึงบ้านแม่จันทะประมาณ ๔-๕ ก.ม. จะล่องแพได้สะดวกดี
แก่งแต่ละแก่งไม่อันตราย ล่องเลยลงไปจนถึงห้วยทิลากือ
เป็นจุดสิ้นสุดของการล่องแพที่สบาย ใช้เวลาประมาณเกือบ ๒ วันหรือ ๒
วันเต็ม ถือว่าเป็นระยะทางของการล่องแพที่ไกลทีเดียว ช่วงก่อนถึงห้วยทิลากือก็มีแก่งอีกหลายแก่งที่อาจจะทำให้แพติดขัดกับโขดหินได้
|
|
 |
|
<<<<< ภูเขาสูงเสียดฟ้า
ตั้งตระหง่านเป็นแนวกำแพงยักษ์ >>>>>
เบื้องล่างเป็นแก่งกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราด
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
<<<<< น้ำตก สายน้ำ
และภูผาภูเขาหินปูน >>>>>
น้ำตกหลั่งไหลลงแม่น้ำแม่กลองไหลมาจากป่าทุ่งใหญ่ - ห้วยขาแข้ง
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
จากน้ำตกทีลอเรมาจนถึงหมู่บ้านแม่จันทะ ถ้าล่องแพมาก็ใช้เวลาประมาณ ๑๐
วัน จะขาดเกินไปกว่านี้คงไม่มาก เพราะต้องเสียเวลาอยู่กับแพ
แต่ถ้าเดินมาตามแม่น้ำใช้เวลาประมาณ ๓ วัน ไม้ไผ่ก็หายากช่วงที่ล่องแพได้
เพราะชาวบ้านตัดไม้ใช้ต่อแพในการเดินทางกลับหมู่บ้าน เมื่อเลยห้วยทิลากือมาก็มีแต่แก่งเต็มไปด้วยโขดหิน
แทบทุกแก่งถึงจะล่องผ่านไปได้แต่ก็เสี่ยงอันตรายวัดดวงกันทุกแก่ง
เพราะไม่อยากจะรื้อแพหรือปล่อยแพลอยไปอาจจะติดขัดกับโขดหิน
หินในแม่น้ำคมมาก เพราะเป็นหินปูนถูกน้ำกัดเซาะจนคม
เป็นอันตรายต่อคนที่พลัดตกไปกระแทกกับโขดหิน
ทำให้ร่างกายฉีกขาดหรือขาแขนหักได้
หรือแพที่ถูกโขดหินในน้ำครูดถูบาดเชือกที่ผูกจนขาด
พอเลยห้วยดงวี่มาไม่ไกลนักมีแก่งใหญ่เต็มไปด้วยโขดหินล่องแพผ่านไม่ได้
เลยจากแก่งนี้ไปก็ยังมีแก่งที่อันตรายอยู่อีกไม่กี่แก่ง
จากนั้นจะล่องมาได้สบาย ริมแม่น้ำจะพบเหล็กท่อน้ำขนาดสองนิ้ว
ทิ้งไว้คราวที่มีการสำรวจสร้างเขื่อนน้ำโจน
ด้านขวามือจะมีน้ำตกไหลลงแม่น้ำ จากจุดนี้ไปไม่ไกลนักก็จะถึงน้ำโจน
จากน้ำตกนี้จะมีทางเดินไปทางรถยนต์ที่ตัดผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร ใกล้กับหน่วยซ่งไท้
ซึ่งใช้เวลาเดินไปประมาณ ๒-๓ ชั่วโมง
จากน้ำตกแห่งนี้มาก็จะถึงน้ำโจนจุดที่จะสร้างเขื่อนในอดีต
ล่องแพมาได้สะดวกสบาย พอถึงน้ำโจนแล้วต้องรื้อแพออก
เพราะเป็นแก่งหินน้ำไหลแรง ไม่สามารถปล่อยแพให้ไปลอยกับกระแสน้ำได้ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
<<<<< แพที่หมดสภาพ
ท่ามกลางป่าไม้และขุนเขาของแม่น้ำแม่กลอง >>>>>
สายน้ำตก ตกจากหน้าผาสูง มีเห็นอยู่หลายแห่ง
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ใต้แก่งน้ำโจนเป็นอ่าวกว้างเวิ้งว้างน้ำลึกมาก
ที่ริมฝั่งมีลานสำหรับนักท่องเที่ยวมาพัก มีห้องน้ำพร้อมให้ความสะดวกสบาย
จากน้ำโจนนี้ไปจะล่องแพไปได้จนถึงน้ำเอ่อ
คือจุดที่น้ำเขื่อนหนุนขึ้นมาถึง ตลอดสายน้ำไม่มีแก่งที่น่าตื่นเต้น
เพราะเรือหางยาวสามารถขึ้นมาถึงน้ำโจนได้
จากน้ำโจนจนถึงน้ำเอ่อใช้เวลาล่องแพประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น
ตลอดทางช่วงนี้จะมีโอกาสพบเห็นสัตว์ป่าประเภท เก้ง กวาง กระทิง
ที่ลงมาหากินริมแม่น้ำ ต่างจากที่ล่องแพมาจากอุ้มผางลงมาถึงน้ำโจน
ซึ่งแทบไม่มีโอกาสจะได้เห็นสัตว์ป่าเลย
นอกเสียจากพวกลิงที่หากินอยู่บนต้นไม้ริมแม่น้ำ
เมื่อล่องแพมาถึงที่น้ำเขื่อนเอ่อขึ้นถึงแล้วก็ต้องล่องแพไปจนถึงหน่วยห้วยคือ
จึงจะมีเรือออกไปได้ หรือเดินเท้ากลับก็เลือกเอา
แต่จากน้ำเอ่อมาจนถึงหน่วยหรือจุดสกัดห้วยคือ
ระยะทางไม่ไกลนักแต่ต้องใช้เวลาล่องแพประมาณ ๔-๕ ชั่วโมง
เพราะน้ำนิ่งและลึกจนไม้ถ่อหยั่งไม่ถึงดิน
ถ้าปริมาณน้ำในเขื่อนมีมากก็ต้องใช้เวลามากกว่านี้
เนื่องจากน้ำเขื่อนหนุนสูงขึ้นไปอีก
ถ้าล่องแพไปได้ช้าก็น่าจะลองเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำ
ต้องเดินไปตามริมฝั่งด้านขวามือ(ทิศใต้) เพราะจุดสกัดห้วยคืออยู่ฝั่งนี้
คงเร็วกว่าการพายแพอยู่ในน้ำนิ่ง
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
<<<<<
สภาพเช่นนี้ไม่ว่าจะล่องแพหรือเดินก็ยังลำบากนักหนา >>>>>
มองเห็นเป็นโขดหิน แต่มีช่องพอให้แพล่องมาได้ |
|
 |
|
|
|
|
|
|
การล่องแพตลอดลำน้ำแม่กลองนี้ หรือจะล่องช่วงใดช่วงหนึ่งก็ตามที
ก็ต้องของอนุญาตการเข้าไป
เนื่องจากริมแม่น้ำจะมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ประจำหน่วยอยู่
หรือมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ออกลาดตระเวนอยู่เป็นระยะๆ
การเดินทางโดยการล่องแพหรือเดินเท้าก็ตาม
มิใช่ว่าจะง่ายเลยสำหรับเส้นทางสายนี้
เพราะริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองแทบจะไม่มีพื้นที่ราบหรือหาดทราย
มีแต่โขดหินก้อนใหญ่
หรือเป็นหน้าผาสูงชันตัดตรงติดกับน้ำที่ลึกนับสิบเมตร ต้องลอยคอว่ายน้ำไป
ภูเขาสูงชันจนไม่สามารถปีนป่ายได้
ถ้ามีเหตุจำเป็นที่ต้องเดินทางกลับโดยไม่ล่องแพ
ก็ต้องแทบหมดหวังกับการเดินทางออกมาติดกับโลกภายนอกได้
เว้นแต่อยู่ใกล้จุดตรงที่มีคนอาศัยอยู่
และต้องผจญกับฝูงผึ้งมหาประลัยตัวใหญ่เท่านิ้วก้อยทุก ๆ วัน
ตั้งแต่เวลาเช้าพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงเวลาเย็น มันจะตอมตามตัว เสื้อผ้า
เป้ อาหาร เต็มไปหมดเหมือนเป็นรังของมัน
จึงควรมีมุ้งติดไปสักหลังดีที่สุด
เอาไว้กางกินข้าวในมุ้งในมื้อเช้าและมื้อเที่ยง
ส่วนมื้อค่ำพวกมันกลับรังเข้านอนหมดแล้ว
พวกมันจะตอมตัวช่วงที่หยุดแพเท่านั้น ถ้าล่องแพไปมันจะบินตามไปเฉย ๆ
กระเหรี่ยงบอกวิธีป้องโดยใช้กระเทียมทาตามตัว
ส่วนคนไทยคงบอกให้ใช้ครีมทากันยุงดีกว่า
ถ้าใครเคยเดินป่าปีนเขามามากแล้ว
อยากจะเปลี่ยนรสชาติมาเป็นการล่องแพดูบ้าง
ด้วยระยะทางเป็นร้อยกิโลก็น่าจะดี
เพื่อประสบการณ์ในชีวิตที่ล่องไปกับสายน้ำ ท่ามกลางภูเขาและป่าดงพงไพร
ถือว่าเป็นการล่องแพระยะทางไกลที่สุดของประเทศไทย
ทุกอย่างยังเป็นธรรมชาติดั้งเดิมตามที่เคยเป็นอยู่
และคุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ล่องแพสุดสายน้ำแม่กลองตอนบน
|
|
|
|
|
|
>>>>>>
คลิกชมภาพต่อ >>>>> |
|
|
|
|
|
|